Policy talk:Terms of Use
|อธิบายกรณีคุ้มครอง=ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อชาติไทย ตัวชี้วัดช่วงชั้น • วิเคราะห์ประเด็นสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย (ส 4.3 ม. 4–6/2) จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อชาติไทยได้ (A, K) 2. นำความรู้เรื่องความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อชาติไทยไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ (P, K) 3. วิเคราะห์ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อชาติไทยได้ (P, K) ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อชาติไทย 1. การป้องกันและรักษาเอกราชของชาติ นับตั้งแต่อดีตพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะจอมทัพ เป็นผู้นำในการทำสงครามเพื่อป้องกันบ้านเมืองและขยายอำนาจ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสระภาพจากพม่าและทำสงครามเพื่อสร้างความมั่นคงและขยายอำนาจของกรุงศรีอยุธยา หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากพม่าและทำสงครามเพื่อสร้างความมั่นคงและขยายอำนาจของกรุงศรีอยุธยา หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นผู้นำขับไล่พม่าหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 และสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแห่งใหม่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ทรงเป็นแม่ทัพสำคัญมาตั้งแต่สมัยธนบุรี ทรงทำสงครามกับพม่า สงครามครั้งใหญ่ คือ สงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ. 2328 แม่แต่ในสมัยที่ไทยเผชิญภัยคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นผู้นำในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อรักษาเอกราชของชาติ โดยใช้นโยบายทางการทูตสร้างความสัมพันธ์กับราชสำนักต่างชาติเมื่อเผชิญกับความขัดแย้งกับชาติตะวันตก เช่น รัฐบาลไทยใช้การเจรจาทางการทูตทั้งการเจรจาในเมืองไทยและในฝรั่งเศส ในกรณี ร.ศ. 112 โดยขุนนางไทยและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเจรจากับฝรั่งด้วยพระองค์เอง เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 พ.ศ. 2440 นอกจากนี้ทรงผูกมิตรกับรัสเซีย เพื่อให้รัสเซียช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกับฝรั่งเศสอีกทางหนึ่ง และทรงยอมเสียดินแดนส่วนน้อยที่ไม่ใช่ดินแดนไทยเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้ หรือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 - 1918) และส่งทหารไทยไปยุโรปด้วย ทำให้ไทยได้ประโยชน์จากการเข้าร่วมกับฝ่ายชนะสงคราม โดยได้ยกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมที่เคยทำกับชาติตะวันตกไว้ในเวลาต่อมา บทบาทและหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ด้านการเมือง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในด้านการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ ด้วยการพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อกิจการสาธารณกุศลอยู่เป็นนิจ ได้แก่ พระราชทานทุนการศึกษา สงเคราะห์คนยากิจน คนพิการ เจ็บป่วย และชราเมื่อราษฎรประสบภัยธรรมชาติ หรือความทุกข์ยาก พระองค์พระราชทานความช่วยเหลือ ทรงเป็นผู้นำทางด้านสังคมสงเคราะห์อย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังทรงมีพระราชดำริให้มีโครงการเพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทย ได้แก่ โครงการอีสานเขียว โครงการปฏิรูปที่ดิน โครงการ สหกรณ์แบบต่างๆ โครงการด้านการเกษตร โครงการฝนหลวง โครงการนาสาธิต โครงการแพทย์หลวง โครงการพัฒนาที่ดิน โครงการการศึกษา โรงเรียนร่มเกล้า โครงการแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร โครงการฝึกอาชีพต่างๆ เป็นต้น โครงการทั้งหลายนี้ล้วนได้รับการสนับสนุนจากราษฎร หน่วยราชการ เกิดผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน บทบาทและหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ด้านการปกครอง พระมหากษัตริย์ได้มีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองการปกครองการรวมชาติ การสร้างเอกราช การวางรากฐานการเมืองการปกครอง การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองการปกครอง การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่อดีตสืบต่อมาตลอดปัจจุบันบทบาทของพระมหา กษัตริย์มีส่วนช่วยสร้างเอกภาพของประเทศเป็นอย่างมาก คนไทยทุกกลุ่มไม่ว่าศาสนาใดมีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันอย่างไรก็มีความรู้สึก ร่วมในการมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน การเสด็จออกเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆ แม้ท้องถิ่นทุรกันดาร หรือมากด้วยภยันตรายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ราษฎรมีขวัญและกำลังใจดี มีความรู้สึกผูกพันกับชาติว่ามิได้ถูกทอดทิ้ง พระราชกรณียกิจดังกล่าวของพระองค์มีส่วนช่วยในการปกครองเป็นอย่างมาก 2. บทบาทและหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ด้านกี่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ไทยทุกยุคทุกสมัยเป็นองค์อุปถัมภ์และส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทั้งการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถาน การสังคายนาพระไตรปิฏก การแต่งวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1(ลิไทย) ทรงแต่งไตรภูมิพระร่วงหรือสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสนับสนุนให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตร่วมกันแต่งหนังสือเรื่องมหาชาติคำหลวง นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีขันติธรรมทางศาสนา ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ราษฎร และทรงสนับสนุนศาสนาอื่น ๆ เช่น พระราชทานที่ดินให้สร้างเป็นโบสถ์คริสต์และมัสยิดในศาสนาอิสลามทั้งในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ เป็นต้น 3. บทบาทและหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ด้านการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขและความเจริญแก่สังคม ได้ทรงริเริ่มโครงการต่างๆทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พระราชดำริและโครงการที่ทรงริเริ่มมีมากซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานในการพัฒนา ชาติทั้งสิ้น โครงการของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่สำคัญ ได้แก่ โครงการอีสานเขียว โครงการฝนหลวง โครงการปลูกป่า โครงการขุดคลองระบายน้ำ โครงการปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดในเมืองใหญ่ โครงการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม และอื่นๆ ทรงทำเป็นแบบอย่างที่ดีประชาชนและหน่วยราชการนำไปปฏิบัติก่อให้เกิดประโยชน์ในทางการพัฒนาชาติขึ้นมาก นอกจากนี้ทรงทำให้เกิดความคิดในการดำรงชีวิตแบบใหม่เช่น การประกอบอาชีพ การใช้วิทยาการมาช่วยทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น 4. บทบาทและหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ด้านการทำนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ทรงมีแนวพระราชดำริว่ามีความสำคัญด้วยเป็นทั่งที่มาของความเจริญ และเป็นสิ่งที่จะช่วยดำรงความเป็นไทยไว้ได้ ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยศิลปากรเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมพ.ศ. 2513 ความตอนหนึ่งว่า"งานด้านการศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมนั้น คืองานสร้างสรรค์ความเจริญทางปัญญาและทางจิตใจ ซึ่งเป็นต้นเหตุ ทั้งองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ของความเจริญด้านอื่นๆ ทั้งหมด และเป็นปัจจัยที่ช่วยให้เรารักษาและดำรงความเป็นไทยไว้ได้สืบไป" ดังที่กล่าวแล้วว่าพระราชภารกิจอีกประการหนึ่งของพระมหากษัตริย์คือการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อศิลปวัฒนธรรมของชาติไทย ด้วยทรงตระหนักถึงแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยจะต้องพัฒนาให้ทัดเทียมกับนานาชาติ ซึ่งมีทั้งการรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจและการค้า และสภาพความเป็นอยู่ของคนในชาติ โดยยังคงดำรงความเป็นไทย เป็นชาติที่มีอารยธรรมเก่าแก่สืบทอดกันมานาน มีเอกลักษณ์อันเด่นชัดที่ก่อให้เกิดความสามัคคีในชาติทรงมีพระราชดำริให้ศิลปวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวประชาชนคนไทยไว้ด้วยกันให้มี ความเป็นเจ้าของร่วมกันและในที่สุดจะสามารถสืบทอดต่อไปสู่คนรุ่นหลัง ความลึกซึ้งในแนวพระราชดำริเกี่ยวกับวัฒนธรรมอันเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจของคนแต่ละชาติแต่ละภาษานั้น ทรงนำมาใช้เพื่อสร้างมิตรภาพได้แม้แต่ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหภาพพม่าซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เคยทำสงครามกันมา ศิลปะและวัฒนธรรมนั้นมีบริบทที่กว้างขวาง แม้แยกเป็นประเด็นก็อาจจะมีความเกี่ยวเนื่องโยงใยถึงกันโดยเฉพาะพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกันเนื่องด้วยพระราชกรณียกิจเหล่านั้นล้วนเป็นผลมาจากแนวพระราชดำริที่ทรงมีต่อศิลปวัฒนธรรมอย่างไรก็ดี ในที่นี้จะกล่าวถึงแนวพระราชดำริและพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงทำนุบำรุง ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของชาติ ได้แก่การฟื้นฟูขนบประเพณี ประวัติศาสตร์และการอนุรักษ์มรดกของชาติ และการอนุรักษ์ภาษาไทย ใบงาน คำชี้แจง ให้นักเรียนศึกษาถึงบทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยเรื่องดังต่อไปนี้ ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อชาติไทย 1. ด้านการป้องกันและรักษาเอกราชของชาติ 2. ด้านการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 3. ด้านเศรษฐกิจ 4. ด้านการสร้างสรรค์วัฒนธรรมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สังคมทุกสังคมจะเจริญก้าวหน้าเป็นปึกแผ่นได้ย่อมต้องมีระเบียบวินัยและผู้น าของสังคมเป็นหลักในการปกครอง ผู้น าของสังคมระดับประเทศโดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของประธานาธิบดีหรือพระมหากษัตริย์ ส าหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่การใช้พระราชอ านาจด้านนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ทรงมิได้ใช้พระราชอ านาจเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง แต่มีองค์การหรือ หน่วยงานที่รับผิดชอบต่าง ๆ กันไป พระราชอ านาจทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นฐานะประมุขของรัฐ หรือในฐานะอื่น ได้ถูกก าหนดไว้ โดยชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับก าหนดรูปแบบการปกครองและประมุขแห่งรัฐไว้ว่า ประเทศไทยมีการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเทิดทูนพระมหากษัตริย์ คือ ทรงด ารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่ เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และรัฐธรรมนูญยังก าหนดพระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์โดยให้พระมหากษัตริย์ทรง เป็นผู้ใช้อ านาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน โดยใช้อ านาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อ านาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และอ านาจตุลาการผ่านทางศาล การก าหนดเช่นนี้หมายความว่าอ านาจต่าง ๆ จะใช้ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ซึ่ง ในความเป็นจริงอ านาจเหล่านี้มีองค์กรเป็นผู้ใช้ ฉะนั้นการที่บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อ านาจนิติบัญญัติ อ านาจบริหาร และอ านาจตุลาการผ่านทางองค์กรต่าง ๆ นั้น จึงเป็นการเทิดพระเกียรติแต่อ านาจที่แท้จริงอยู่ที่องค์กรที่เป็นผู้พิจารณาน าขึ้น ทูลเกล้าถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลง พระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญของไทยแม้จะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและก าหนดให้มีผู้รับสนอง พระบรมราชโองการในการปฏิบัติทางการปกครอง ทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงมีอ านาจบางประการที่ได้รับการรับรอง โดยรัฐธรรมนูญ และ เป็นพระราชอ านาจที่ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัยจริง ๆ ได้แก่การแต่งตั้งคณะองคมนตรี การแต่งตั้งข้าราชการในพระองค์ และ สมุหราชองครักษ์การแก้ไขเพิ่มเติมกฏมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์การพระราชทางเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็น ต้น พระราชอ านาจที่ส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง คือ พระราชอ านาจในการยับยั้งร่าง พระราชบัญญัติในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการเห็น ชอบของรัฐสภามาแล้วและ นายกรัฐมนตรีน าขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ แต่พระองค์อาจใช้พระราชอ านาจ ยับยั้งได้ เช่น กรณีพระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งรัฐสภาจะต้องน าร่างพระราชบัญญัติที่ถูกยับยั้ง นั้นไปพิจารณาใหม่ อ านาจอธิปไตย หมายถึง อ านาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญของการปกครองของรัฐที่มี อิสระ เสรีภาพ และมีความเป็นเอกราช มีอ านาจในการบริหารราชการ ทั้งกิจการภายในและนอกประเทศได้อย่างเต็มที่ โดยทั่วไปอ านาจอธิปไตยแยกใช้เป็น 3 ลักษณะ คือ อ านาจนิติบัญญัติ อ านาจบริหาร และ อ านาจตุลาการ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ระบุว่า อ านาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อ านาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่ง หมายความว่า ในทางการเมืองประชาชนมีอ านาจสูงสุด แต่การใช้อ านาจทางกฎหมายต้องใช้ผ่านสถาบันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาลที่พิพากษา อรรถคดีตามกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้วในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์และตามขอบเขตที่ รัฐธรรมนูญก าหนดไว้เท่านั้น ดังนั้นองค์ประกอบของผู้ใช้อ านาจก็คือ ต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันบริหาร และสถาบันตุลาการ อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าอ านาจอธิปไตยตามกฎหมายไม่ได้อยู่ที่รัฐสภาเท่านั้น แต่แยกกันอยู่ ใน 3 สถาบันหลักดังกล่าว ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่าอ านาจใดใหญ่ที่สุดหรือส าคัญกว่ากัน การก าหนดให้แยกการใช้อ านาจอธิปไตยออกเป็น 3 ส่วน และให้มีองค์กร 3 ฝ่าย เป็นผู้รับผิดชอบไปแต่ละส่วนนี้ เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยที่ไม่ต้องการให้มีการรวมอ านาจ แต่ต้องการให้มีการถ่วงดุลอ านาจซึ่งกันและกัน เพราะถ้าให้ องค์กรใดเป็นผู้ใช้อ านาจมากกว่าหนึ่งส่วนแล้ว อาจเป็นช่องว่างให้เกิดการใช้อ านาจแบบเผด็จการได้ ความสัมพันธ์ระหว่างอ านาจนิติบัญญัติ อ านาจบริหาร และอ านาจตุลาการ มีดังนี้ 1. อ านาจนิติบัญญัติ หรือ สถาบันนิติบัญญัติ หมายถึง สถาบันที่ท าหน้าที่ออกกฎหมาย คือรัฐสภา ซึ่งมีรูปแบบเป็น สภาคู่ หรือ 2 สภา ประกอบด้วย 1.1 สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต จ านวน 400 คน และการเลือกตั้งแบบ สัดส่วน จ านวน 80 คน รวม 480 คน มีอ านาจหน้าที่ในการออกกฎหมาย 1.2 วุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนและการสรรหา มีจ านวน 150 คน มี หน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองพระราชบัญญัติโดยถี่ถ้วนไม่ต้องผูกพันกับฝ่ายรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีอ านาจหน้าที่ในการ แต่งตั้งและถอดถอนผู้ด ารงต าแหน่งส าคัญของบ้านเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง อัยการสูงสุด เป็นต้น 2. อ านาจบริหาร หรือ สถาบันบริหาร หมายถึงบุคคล คณะบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรที่น านโยบายของรัฐไป ด าเนินการและน าไปปฏิบัติสถาบันบริหารนั้นนอกจากจะเป็นสถาบันสร้างกฎหมายแล้ว ยังเป็นสถาบันสร้างนโยบายบริหาร ประเทศด้วย สถาบันบริหารจะน านโยบาย และกฎหมายที่ผ่านความเป็นชอบของรัฐสภาแล้วไปด าเนินหรือไปปฏิบัติ องค์ประกอบของสถาบันบริหารประกอบด้วย 2.1 ข้าราชการการเมือง คือข้าราชการซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนให้มาท าหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารบ้านเมือง 2.2 ข้าราชการประจ า คือ บุคลากรซึ่งเป็นกลไกหรือเครื่องมือในการน านโยบายและกฎหมายไปปฏิบัติซึ่ง ต้อง ปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา มีประสิทธิภาพสูง มีความรอบรู้ในหลักวิชาการ มีประสบการณ์ และมีระเบียบประเพณีการ ประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นแบบอย่าง มีสายการบังคับบัญชาของข้าราชการประจ าอย่างชัดเจน มีการแบ่งงานกันท าเฉพาะอย่างตามความช านาญ 3. อ านาจตุลาการ หรือ สถาบันตุลาการ หมายถึง ศาลและผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ในนามของรัฐ หรือในพระ ปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์อ านาจตุลาการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีสาระส าคัญ 2 ประการดังนี้ 3.1 อ านาจตุลาการในระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญของไทยในอดีตได้แยกอ านาจระหว่างอ านาจตุลาการ และอ านาจนิติบัญญัติไว้อย่างชัดเจน โดยจัดอ านาจตุลาการให้มีความอิสระจากฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติรัฐสภาจะก้าวก่าย อ านาจของศาลไม่ได้ 3.2 ศาล รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้วางหลักทั่วไปเกี่ยวกับหลักการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีว่าเป็นอ านาจ ศาล ซึ่งศาลในที่นี้หมายถึง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลยุติธรรม และศาลอื่นๆ พระราชสถานะและพระราชอ านาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับยืนยันความเป็นประมุขสูงสุดของพระมหากษัตริย์โดยบัญญัติว่า องค์ พระมหากษัตริย์ทรงด ารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ ในทางใด ๆ มิได้ หมายความว่า ผู้ใดจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ไม่ได้ผู้ละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็น การกระท าความผิดอย่างร้ายแรง รัฐธรรมนูญบางฉบับถึงกับไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระท าการล้มล้างสถาบัน พระมหากษัตริย์ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือ การเมือง และก าหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการด าเนินการทางการเมืองการปกครองรัฐธรรมนูญได้ก าหนด พระราชอ านาจของ พระมหากษัตริย์ ดังนี้ 1. ทรงใช้อ านาจอธิปไตย พระมหากษัตริย์ใช้อ านาจอธิปไตย เช่น อ านาจนิติบัญญัติอ านาจบริหาร และอ านาจตุลา การ ดังนี้ ทรงใช้อ านาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา หมายความว่า พระมหากษัตริย์ทางใช้อ านาจในการออกกฎหมาย ค าแนะน า และ ยินยอมของรัฐสภา เมื่อรัฐสภาร่างกฎหมายขึ้นแล้วจะทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมายตาม ขั้นตอนของ รัฐธรรมนูญ ทรงใช้อ านาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี หมายความว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีด าเนินการไปนั้น ถือว่ากระท าไปในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ทั้งนี้เพราะบรรดา พระราชบัญญัติพระราชก าหนด พระราชกฤษฎีกา พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติและรับผิดชอบทั้งสิ้น โดยนายกรัฐมนตรีจะต้องกราบบังคมทูลและลงนามรับสนองพระบรมราช โองการ พระราชอ านาจทางด้านบริหารของพระมหากษัตริย์ดังกล่าวได้แก่การตราพระราชกฤษฎีกาไม่ขัดต่อกฎหมาย การ ประกาศใช้และยกเลิกใช้กฎอัยการศึก การประกาศสงคราม เมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา การท าสัญญาสันติภาพ สัญญา สงบศึก หรือสนธิสัญญาอื่นกับนานาประเทศ หรือกับองค์การระหว่างประเทศ และการพระราชทานอภัยโทษ ทรงใช้อ านาจตุลาการทางศาล หมายถึง ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและ ตามกฎหมายในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอ านาจในการแต่งตั้งและการพ้นจาก ต าแหน่งของผู้พิพากษาและตุลาการก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้พิพากษาและตุลาการจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ 2. ทรงด ารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไทยทรงอยู่ภายใต้ กฎหมายก็เพียงเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ทรงอยู่เหนือกฎหมายอื่น ๆ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องตามกฎหมายใด ๆ มิได้ทั้งนี้ก็เพราะต้องการเทิดทูนองค์พระประมุขของชาติ พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระท าผิด (The King can do no wrong) หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบในพระบรมราชโองการหรือการกระท าในพระปรมาภิไธย ของพระองค์ในกรณีที่มีความเสียหายบกพร่องเกิดขึ้น ผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการจะต้องรับผิดชอบ เพราะในทางปฏิบัติ นั้น พระมหากษัตริย์มิได้ทรงริเริ่ม หรือด าเนินข้อราชการต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองจะต้องมีเจ้าหน้าที่หรืองค์กรหนึ่งองค์กรใด เป็นฝ่ายด าเนินการและกราบทูลขึ้นมา จะไปละเมิดกล่าวโทษพระมหากษัตริย์มิได้ 3. ทรงเป็นุพุทธมามกะและทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก นั่นก็คือทรงเป็นผู้ทรงศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก คือ ทรงท านุบ ารุงอุปถัมภ์ศาสนาทั้งปวงในขอบขันฑสีมาด้วย โดยไม่เลือกแบ่งแยก ว่าเป็นศาสนาใด สถาบันพระมหากษัตริย์กับศาสนาจึงเป็นสัญลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่งของชาติไทย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะและเป็นองค์อุปถัมภ์ค้ าชูศาสนาอื่น ๆ อย่างเสมอหน้ากัน 4. ทรงด ารงต าแหน่งจอมทัพไทย ค าว่า พระมหากษัตริย์ หมายถึง นักรบผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้พระมหากษัตริย์ใน อดีตจึงต้องทรงน าทัพออกศึกด้วยพระองค์เอง ปัจจุบันแม้การรบจะไม่เกิดมีขึ้นแล้วก็ตาม แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงเป็นมั่ง ขวัญของเหล่าทหารหาญ และเหนือสิ่งอื่นใดทรงด ารงต าแหน่งจอมทัพไทย ตามที่รัฐธรรมนูญได้ถวายพระเกียรติยศไว้เป็นครั้ง แรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ว่า พระมหากษัตริย์ ทรงด ารงต าแหน่งจอมทัพสยาม และ นับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา รัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นภายหลังก็ได้มีบทบัญญัติท านองเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ทุกฉบับ พระราชสถานะ จอมทัพไทย ตามรัฐธรรมนูญนี้ได้จ าหลักลงในส านึกของทหารไทยทุกคนเริ่มตั้งแต่ธงไชยเฉลิมพลประจ ากองทหารนั้น ก็เป็น มงคลสูงสุดส าหรับหน่วย ด้วยเหตุว่าเป็นของที่ได้รับพระราชทานและได้บรรจุเส้นพระเจ้า(เส้นผม) ไว้ในพระกรัณฑ์(ตลับ) บนยอดปลายสุดของธง ดังนั้นเมื่อ กองทหารและธงไชยเฉลิมพลไปปรากฏอยู่ ณ ที่ใด ก็เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้เสด็จ พระราชด าเนินร่วมไปด้วยในกองทัพนั้น ทหารไทยจึงมีขวัญมั่นคงเพราะต่างทราบดีว่าตนปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยเพื่อประโยชน์ สูงสุดของชาติเช่นเดียวกับพระประมุขของตนนั่นเอง 5. ทรงไว้ซึ่งพระราชอ านาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของชาติทรงไว้ซึ่งพระราชอ านาจที่จะพระราชทานเกียรติยศแก่ชนทุกชั้นไม่ว่าจะเป็นฐานันดรศักดิ์แห่ง พระราชวงศ์สมณศักดิ์ (ฐานันดรศักดิ์ของพระภิกษุสงฆ์)และบรรดาศักดิ์ (ฐานันดรศักดิ์ของขุนนาง ข้าราชการ) และทรงไว้ ซึ่งพระราชอ านาจที่จะพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกตระกูลทุกล าดับชั้นด้วยการที่จะทรงสถาปนา ฐานันดรศักดิ์หรือพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น ในสมัยราชาธิปไตยพระราชอ านาจเหล่านี้เป็นไปตามพระราช อัธยาศัยสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยตาม บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว การสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์ การพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีธรรมเนียมที่จะทรงสถาปนาฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์และพระราชทานสมณศักดิ์ อยู่แต่ส าหรับบรรดาศักดิ์ขุนนางหรือข้าราชการนั้น ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว 6. ทรงเลือกและแต่งตั้งองคมนตรี คณะองคมนตรี คือ คณะที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์มีหน้าที่ถวายความเห็น ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระ มหากษัตริย์ทรงปรึกษา องคมนตรีประกอบด้วยผู้มทรงคุณวุฒิต่าง ๆ โดยมีประธานองคมนตรีคนหนึ่งกับองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 18 คน การเลือก การแต่งตั้ง และการให้องคมนตรีพ้นจาก ต าแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย เพียงแต่ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งหรือพ้นจาก ต าแหน่ง ขององค์มนตรีอื่นๆ ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการทั้งสิ้น 7. ทรงแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์หมายถึง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน พระมหากษัตริย์เมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักรหรือทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้เช่น ประชวร ทรง ผนวช ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ หรือเมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ปกติแล้วเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ใดด้วยความเห็นชอบของ รัฐสภา ผู้นั้นก็เป็นผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ถ้ามิได้ทรงแต่งตั้งไว้ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งที่สมควรต่อ รัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบและในบางกรณีเช่น เมื่อราชบัลลังก์ว่างลง หรือระหว่างที่ยังไม่มีผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ให้ ประธานองคมนตรีเป็นผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ไปพลางก่อนได้ ในรัชกาลปัจจุบันมีการแต่งตั้งผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์หลายคราว เช่น เมื่อเสด็จไปทรงศึกษาในต่างประเทศ ช่วงต้นรัชกาล เมื่อทรงผนวช หรือเมื่อเสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในต่างประเทศ 8. ทรงแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ กฎมณเฑียรบาลหมายถึง กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ ทรงตราขึ้นใช้บังคับในกิจการส่วนพระองค์ เช่น พระราชพิธีต่าง ๆ กิจการที่เกี่ยวกับสมาชิกแห่งพระราชวงศ์หรือกิจการที่ เกี่ยวกับราชส านักหรือภายในเขตพระราชฐาน โดยไม่เกี่ยวกับราษฎรอื่น ๆ การสืบราชสมบัติ หมายถึง การขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งนับต่อเนื่องจากพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนมิให้ขาด ตอนกัน อันเป็นธรรมเนียมนานาประเทศ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระราชอ านาจของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะ เมื่อมีพระราชด าริประการใดให้คณะองคมนตรีจัดท าร่างกฎมณเฑียรบาลแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อมีพระ บรมราชวินิจฉัย เมื่อทรงเห็นชอบและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประธานองคมนตรีแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อให้ประธาน รัฐสภาแจ้งให้รัฐสภาทราบ 9. ทรงท าหนังสือสัญญา ทรงไว้ซึ่งพระราชอ านาจในการท าหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นๆ กับนานาประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ นอกจากนี้หนังสือสัญญาได้มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอ านาจแห่ง รัฐ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา 10. ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้พิพากษา ข้าราชการในพระองค์และข้าราชการระดับสูง 11. พระราชทานอภัยโทษ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอ านาจที่จะอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษโดยมีผู้รับสนองพระ บรมราชโองการ พระราชสถานะและพระราชอ านาจที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชอ านาจตามประเพณีของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์อาจทรงใช้พระราชอ านาจต่อไปนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 1. พระราชอ านาจที่จะทรงได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในฐานที่ทรงด ารงต าแหน่งประมุขของประเทศ เป็นสิทธิของ พระมหากษัตริย์ ที่จะทรงได้รับการถวายรายงานให้ทรงทราบถึงสถานการณ์หรือเรื่องราวของบ้านเมืองเสมอการที่พระองค์จ าเป็นต้องทรง ทราบถึงเรื่องราวส าคัญก็เพื่อที่จะทรงให้ค าแนะน า ตักเตือน เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาลหรือผู้ทราบรับผิดชอบเรื่อง นั้น ๆ 2. พระราชอ านาจที่จะพระราชทานค าปรึกษาหารือ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการ แผ่นดิน อาจน าปัญหาขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยได้ 3. พระราชอ านาจที่จะพระราชทานค าแนะน าตักเตือน พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะให้ค าแนะน า ตักเตือนใน บางเรื่อง บางกรณีแก่รัฐสภา รัฐบาลและศาล หรือองค์กรอื่น ๆ ที่ทรงเห็นว่าถ้ากระท าไปแล้วจะเกิดผลเสียหายแก่บ้านเมือง 4. พระราชอ านาจที่จะพระราชทานการสนับสนุน พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะพระราชทาน หรือให้การ สนับสนุนการกระท า หรือกิจการใดๆ ของรัฐหรือเอกชนได้ เช่น โครงการหมู่บ้านสหกรณ์ โครงการฝนหลวง โครงการอีสาน เขียว โครงการสร้างเขื่อน การที่พระองค์ทรงมีพระราชด าริและให้การสนับสนุนโครงการต่าง ๆย่อมเป็นขวัญและก าลังใจ ส าหรับผู้ที่ด าเนินการนั้น ๆ พระราชสถานะทางสังคม สังคมไทยยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันคู่บ้านคู่เมือง เป็นสัญลักษณ์ของชาติ ทรงได้รับการเชิดชูจาก สังคมไทย ดังนี้ 1. ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงท าให้เกิดความส านึกในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท าให้ทุกสถาบันมีจุดรวมจากแหล่งเดียวกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคี กลมเกลียวกันในหมู่ชนเหล่านั้น ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชน ทรงมีเมตตาต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า พระองค์ทรงเสด็จพระราช ด าเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงใด เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน ประชาชนก็มีความ ผูกกันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้ง แน่นแฟ้น มั่นคง จนยากที่จะท าให้สั่นคลอนหรือแตกแยกได้ 2. ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความต่อเนื่องของชาติพระมหากษัตรีย์ทรงเป็นประมุขของชาติไทยสืบต่อกันมาโดยไม่ ขาดสายตั้งแต่อาณาจักรไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนไปกี่ยุคสมัยก็ตาม ท าให้ระบบการเมืองและชาติไทยมี ความสมานฉันท์และต่อเนื่องตลอดเวลา 3. ทรงเป็นพลังในการสร้างขวัญและก าลังใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาของแหล่งเกียรติยศทั้ง ปวง ก่อให้เกิดความภาคภูมิปิติยินดีและเกิดก าลังใจในหมู่ประชาชนทั่วไปที่จะรักษาคุณงามความดีและพยายามกระท าความดี เพื่อให้พระมหากษัตริย์สบายพระทัย 4. ทรงมีส่วนส าคัญในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นครองราชย์ด้วยความเห็นชอบ ยอมรับของประชาชน และทรงใช้อ านาจอธิปไตยแทนประชาชนในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและบ้านเมืองเป็น ส าคัญ ซึ่งอาจต่างจาก ประมุขของประเทศอื่นที่ขึ้นด ารงต าแหน่งโดยการเลือกตั้ง จึงต้องยึดนโยบายของกลุ่มหรือพรรคการเมืองที่ตนสังกัดเป็นหลัก 5. ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นกลไกส าคัญในการยับยั้งและแก้ไขวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรง ภายในประเทศได้ในบางครั้งประเทศไทยเกิดการขัดแย้งกันเองตามระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ก็สามารถยุติได้ ด้วยพระบารมีของพระองค์ เช่น เหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยเมืองเดือนตุลาคม 2516 และเหตุการณ์ความขัดแย้งทาง การเมืองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 เป็นต้น 6. ทรงส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ พระมหากษัตริย์เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ทั้งประชาชน รัฐบาล หน่วย ราชการ กองทัพ นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน หรือกลุ่มต่าง ๆ แม้กระทั่งชนกลุ่มน้อยในประเทศ เช่น ชาวไทยภูเขา ชาวไทยมุสลิม เป็นต้น ท าให้ทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่นและมีความพรักพร้อมที่จะรักษาความมั่นคงและเอกราชของชาติไว้ 7. ทรงมีส่วนเสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตได้ทรงด าเนินวิเทโศบายได้อย่าง ดีจนสามารถรักษาเอกราชไว้ได้โดยเฉพาะสมัยการล่าเมืองขึ้นของชาติตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอ านาจในยุโรป ส าหรับพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ก็ทรงด าเนินการให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่าง ๆ กับประเทศไทย โดยเสด็จพระ ราชด าเนินเยี่ยมเยือนประเทศต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 31 ประเทศ ท าให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับต่างประเทศด าเนินไปได้อย่าง สะดวกและราบรื่น 8. ทรงเป็นผู้น าในการพัฒนาและปฏิรูปด้านต่าง ๆ การพัฒนาและการปฏิรูปที่ส าคัญ ๆ ของชาติส่วนใหญ่ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้น า ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงปูพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยจัดตั้ง กระทรวงต่าง ๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส กระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบันได้ทรงเกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่าง ๆ ทรง สนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหาหลัก ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ผ่านโครงการ พระราชด าริซึ่งมุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้แก่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้แก่ ชาวนา ชาวไร่และประชาชนผู้ด้อยโอกาส เช่น โครงการพัฒนาที่ดิน โครงการสหกรณ์ โครงการพัฒนาชาวเขา และการเกษตรทฤษฎีใหม่เป็นต้น 9. ทรงมีส่วนเกื้อหนุนระบอบประชาธิปไตย สถาบันพระมหากษัตริย์มีส่วนส าคัญในการส่งเสริมระบอบการ ปกครองแบบประชาธิปไตยให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง เพราะการที่ประชาชนเกิดความจงรักภักดีและเชื่อมั่นในสถาบัน พระมหากษัตริย์ท าให้ประชาชน เกิดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นระบอบการปกครองที่เชิดชู สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะของประชนนั่นเองพระราชอำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ Namespacesหน้าอภิปรายPage actionsดูดูโค้ดประวัติ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหาในระบอบประชาธิปไตย มีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ผ่านสถาบันต่างๆ ของรัฐ คือ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓ ได้กำหนดว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” รวมถึงมาตรา ๘ ที่บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” โดยจะไม่ทรงประกอบการใดทางการเมืองด้วยพระองค์เอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ หากเกิดความคลาดเคลื่อนผิดพลาดใดๆ ย่อมถือว่ามิได้ทรงกระทำผิด เพราะบุคคลที่รับผิดชอบต่อความคลาดเคลื่อนผิดพลาดนั้น คือองค์กรเจ้าของเรื่องและผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ที่ถือเป็นผู้แทนขององค์กรนั้นๆ ในรัฐธรรมนูญ ยังบัญญัติถึงพระราชฐานะและพระราชอำนาจอื่นๆ อีกหลายประการ ได้แก่ “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ และ “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” ตามมาตรา ๑๐ รวมถึง “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” ตามมาตรา ๑๑ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการเลือกและแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรี ข้าราชการในพระองค์ และสมุหราชองครักษ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระรัชทายาทเพื่อสืบราชสันตติวงศ์ตามพระราชอัธยาศัย ตามมาตรา ๑๒ ๑๗ ๑๘ และ ๒๒ ตามลำดับ การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญผ่านองค์กร 021009-การใช้พระราชอำนาจ.jpg การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณี 021009-การใช้พระราชอำนาจ2.jpg ที่มา: รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี ๖๐ ปี ทรงครองราชย์ พุทธศักราช ๒๕๔๙ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทรงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐสภามีรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในต้นรัชกาล ให้มีความเข้มแข็ง และเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้มีความก้าวหน้าในระยะเวลาต่อมา ทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการอย่างถูกต้อง บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม อันเป็นการประกอบพระราชกรณียกิจภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้งานบริหารประเทศดำเนินไปได้ราบรื่น ตลอดเวลา ๖๐ ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ๑๓ ฉบับ โดยได้พระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ และเสด็จพระราชดำเนินไปในรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ๓๓ ครั้ง โดยมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ นอกจากนี้ ทุกๆ ครั้งที่คณะผู้บริหารประเทศขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายคำสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานคำแนะนำรวมถึงพระบรมราโชวาทให้ตั้งตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตและดำเนินการใดๆ ด้วยความตั้งใจเพื่อประโยชน์แห่งส่วนรวม อันเป็นแนวทางในการพัฒนาและบริหารประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามั่นคงสืบไป
Initially, I had been using Google's password manager to make and store my Wikimedia password. However, once I found out that you may not disclose passwords to a third party, I stopped using it. For this reason, I had forgotten the password to my former account (which had no email attached to it) and later created this account. Caehlla2357 (talk) 17:30, 16 July 2021 (UTC)
"you should follow the policies that govern each of the independent Project editions."
It is very unclear what the policies precisely are you have to follow as an editor. It would be good, when the Wikimedia Foundation would create a kind of "basic line policies" everyone is obliged to follow and publish these basic policies uneditable on a spot that is easy to find. Furthermore it would be good, editors would be informed beforehand, what eventual consequences would be of not following policies. Last but not least it would be good to know, what body is the authority to decide on issues and according to what rules. Thanks! Count your Garden by the Flowers (talk) 21:13, 12 November 2022 (UTC)